อย่างไรก็ตาม ในสิ่งที่หลายคนอยากรู้ว่า นอกจากแผนการใช้เงินแล้ว ในปี 67 รัฐบาลของนายเศรษฐา มีแผนหารายได้เข้าประเทศกันอย่างไรเพื่อให้สอดรับ สอดคล้องกับการใช้เงิน โดยภาพรวมการหารายได้เข้าประเทศในปีมังกรทอง ปีนี้ ได้แบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ เริ่มจากรายได้ภาคการส่งออกสินค้าไปขายต่างประเทศ เป็นเงินก้อนใหญ่สุด 60% ของจีดีพี รองลงมา…เป็นรายได้จากการท่องเที่ยว 20% และส่วนสุดท้าย…เป็นเงินการลงทุนโดยตรงจากชาวต่างชาติคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

ส่งออก 10 ล้านล้าน
เริ่มต้นจาก…การหารายได้จากการส่งออก โดยในปี 67 นี้ ได้คาดการณ์กันว่าจะสามารถฟื้นตัวเป็นบวกได้ จากปี 66 ที่ติดลบอยู่ประมาณ 1-2% มีตัวเลขประมาณการที่น่าสนใจ เช่น สภาพัฒน์ มองว่า…การส่งออกปี 67 จะขยายตัวได้ 3.8% ขณะที่แบงก์ชาติ ได้คาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้ 4.3% ส่วนสำนักงานเศรษฐกิจการคลังหรือสศค. ประเมินว่าจะขยายตัวได้ที่ 4.4% ด้านภาคเอกชนอย่างคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือกกร. เชื่อว่าจะขยายตัวได้ประมาณ 2-3% หันมาที่กระทรวงพาณิชย์ ที่เบื้องต้นให้ทูตพาณิชย์ประเมินเป้าส่งออกเป็นรายตลาด คาดว่าจะขยายตัวได้ที่ 1.99% คิดเป็นมูลค่า 287,754 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 10 ล้านล้านบาท

เหตุผลหลักที่ทำให้ทุกหน่วยงานฟันธงว่าการส่งออกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นแน่ ๆ มาจากจากปริมาณการค้าโลกปี 67 ที่เชื่อว่าจะขยายตัวได้ 3.2% ฟื้นตัวจากปี 66 ที่ขยายตัว2.1% และยังเชื่อว่าสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางจะอยู่ในวงจำกัด ประกอบกับ เริ่มเห็นแสงสว่างมาตั้งแต่ปลายปี จากยอดส่งออกในช่วงปลายปีที่เริ่มเป็นบวกมาต่อเนื่องตั้งแต่เดือนส.ค.66 และยังมีออเดอร์ใหม่ ๆ เข้ามาต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์โลก เทคโนโลยี

พาณิชย์จัด 417 กิจกรรม
ขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์ ได้วางแผนใส่เกียร์ 5 รุกหนักจัดกิจกรรมเดือน ม.ค.-ธ.ค. 67 ถึง 417กิจกรรม เพื่อเจาะตลาดหลัก ๆ ใน 8 ตลาด ทั้งตะวันออกกลางและแอฟริกา 29 กิจกรรม โดยมีสินค้าเป้าหมาย ได้แก่ ข้าว ไก่ อาหารแปรรูป เครื่องปรับอากาศ ยานยนต์ ทั้งตลาดจีนและฮ่องกง 38 กิจกรรม เป้าหมาย ผลไม้สด ข้าว อาหาร ยางพารา มันสำปะหลัง แฟชั่น ความงาม ตลาดเอเชียใต้ เช่น อินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ รวม 12 กิจกรรม ได้แก่ เครื่องประดับ อาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า ร้านอาหารไทย 4.อาเซียน 29 กิจกรรม ได้แก่ อาหาร ผลไม้ ฮาลาล เครื่องจักรการเกษตร ยานยนต์ แฟรนไชส์ไทย

นอกจากนี้ยังมีตลาดอเมริกา 24 กิจกรรม ได้แก่ สินค้าออแกนิค ข้าว ยางพารา ร้านอาหารไทย ภาพยนตร์ ตลาดยุโรป 59 กิจกรรม ได้แก่ อาหารสัตว์ของเล่น แฟชั่น ภาพยนตร์ สินค้าบีซีจี ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ตลาดเอเชียตะวันออก และโอเชียเนีย ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ออสเตรเลีย รวม 25 กิจกรรม ได้แก่ อาหาร ผลไม้ สิ่งพิมพ์ สินค้าบีซีจี ยานยนต์ ดิจิทัลคอนเทนต์ และตลาดอื่น ๆ ที่เหลือ 132 กิจกรรม ทั้งในและต่างประเทศ

วาง 5 กลยุทธ์หลัก
นอกจากนี้ยังได้วางกลยุทธ์ไว้อีก 5 ด้าน ได้แก่ 1.เปิดประตูโอกาสทางการค้า สู่ตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ ควบคู่ไปกับการรักษาตลาดเดิม เช่น เดินสายสร้างสัมพันธ์ทั่วโลก เร่งผลักดันการเจรจาเอฟทีเอ 2.สั่งการให้ทูตพาณิชย์ทำงานเชิงรุก และบูรณาการการทำงานกับพาณิชย์จังหวัดใกล้ชิดยิ่งขึ้น เร่งสร้างรายได้ภาคการเกษตร 3.ส่งเสริมการส่งออก ซอฟท์ พาวเวอร์ ไม่ว่าจะเป็น อาหารไทย-ครัวไทยสู่ครัวโลก การท่องเที่ยว ดิจิทัลคอนเทนต์ โดยเฉพาะเกม และภาพยนตร์ การออกแบบและแฟชั่น มวยไทย 4.ปรับปรุงการทำงานของภาครัฐให้เป็นรัฐบาลดิจิทัล โดยให้รัฐช่วยสนับสนุนเอกชน และ 5.พัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ส่งเสริมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน เพื่อสร้างโอกาสเอสเอ็มอีและเกษตรกรเพื่อส่งออก

จากแผนงานทั้งหมด!! ทำให้กระทรวงพาณิชย์มั่นใจว่า ในปี 67 นี้จะสามารถปั้มยอดส่งออกเป็นบวกได้แน่ โดยมีตลาดภูมิภาคเอเชียเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ทั้งจากอินเดีย อินโดนีเซีย และจีน แต่สิ่งที่ต้องระมัดระวัง คือ ความท้าทายจากปัญหาสภาพอากาศแปรปรวนภาวะโลกเดือด ที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตการเกษตร อัตราเงินเฟื้อที่ยังคงทรงตัวในระดับสูง เช่นเดียวกับภาระหนี้ของภาครัฐและดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทั่วโลก ตลอดจนสงครามแก่งแย่งแร่หายาก สำหรับใช้ในการพัฒนาพลังงานทดแทน รถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น อาจเป็นตัวฉุดรั้งการค้าโลกไม่ให้สดใสอย่างที่คาดซึ่งความคาดหวังของกระทรวงพาณิชย์ครั้งนี้จะเป็นไปดั่งใจหวังได้มากน้อยเพียงใด เพราะปี 66 ก็หลุดเป้าหมายไปมาก

ท่องเที่ยว ตปท. 2.5 ล้านล.
หันมาดูที่…รายได้ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ได้ฝากผีฝากไข้ไว้มากที่สุด เพราะเป็น ควิ กวิน ที่สามารถดึงเงินเข้าประเทศได้เร็วกว่าวิธีอื่น และรัฐบาลเศรษฐา ได้ทุ่มหมดหน้าตักปั้นการท่องเที่ยว ทั้งการเปิดวีซ่าฟรีให้นักท่องเที่ยวหลายประเทศ เข้ามาในไทย พร้อมยังใจถึงพึ่งได้ออกแพ็คเก็จ “เว้น-ลด-เลิก” ภาษีลอตใหญ่ ออกมากระตุ้นการใช้จ่ายท่องเที่ยวแบบกระหน่ำซัมเมอร์เซลส์ เข้าให้อีก โดยตั้งเป้าหมายรายได้การท่องเที่ยวไว้อย่างท้าทายถึง 3.5 ล้านล้านบาท แยกเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.5 ล้านล้านบาท และรายได้จากคนไทยเที่ยวไทย 1 ล้านล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่ 3 ล้านล้านบาท และหากเทียบกับปี 66 ที่มีรายได้เพียง 2.38 ล้านล้าน บาทก็จะเติบโตขึ้นถึง 1.1 ล้านล้านบาททีเดียว

ทั้งนี้รายได้ท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น 5 แสนล้านบาทนั้น จะไปเพิ่มในส่วนรายได้จากฝั่งตลาดนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ที่ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อทริปของนักท่องเที่ยวและวันพำนักในไทยให้นานขึ้น โดยเฉพาะจากตลาดสำคัญ ได้แก่ มาเลเซีย จีน เกาหลีใต้ อินเดีย และรัสเซีย ประกอบกับ รัฐบาลสั่งทุ่ม 5 มาตรการ ควิกวิน เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวครั้งใหญ่ ทั้ง มาตรการยกเว้นวีซ่า (วีซ่า-ฟรี) สำหรับชาวจีนและคาซัคสถาน และเฉพาะจีนก็จะเปิดเป็นการถาวรตั้งแต่ 1 มี.ค.นี้เป็นต้นไป รวมทั้งยังขยายวันพำนัก แก่ นักท่องเที่ยวรัสเซียเป็น 90 วัน จนถึง 30 เม.ย.นี้ เป็นต้น

ออกสารพัดมาตรการ
นอกจากนี้ยังมีมาตรการยกเว้นวีซ่า (วีซ่า-ฟรี) แก่นักท่องเที่ยวอินเดียและไต้หวัน โดยให้อยู่ในไทยได้ เป็นระยะเวลา 30 วัน ตั้งแต่ 10 พ.ย. 66 – 10 พ.ค.67 และมาตรการขยายเวลาให้บริการของสถานประกอบการถึงตี 4 ล่าสุดของล่าสุด…รัฐบาลยังไฟเขียวมาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย ที่มีทั้งการลด การเว้น การเลิกภาษีไวน์ สุราท้องถิ่น รวมไปถึงการลดภาษีให้กับสถานบันเทิง อีก 50% แถมยังมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์การตรวจสินค้าเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มของนักท่องเที่ยว เข้าให้อีก เรียกว่ากระตุ้นภาคท่องเที่ยวกันเต็มที่!!คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

ส่วนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักส่งเสริมการท่องเที่ยว ได้กางแผนการตลาดปี 67โดยมุ่งเน้นคุณภาพ ควบคู่มูลค่าและความยั่งยืน บนฐานวัฒนธรรมและซอฟต์พาวเวอร์ โดยมี 5 แนวทาง ตั้งแต่การเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ท่องเที่ยวไทยด้านความยั่งยืนและใช้เป็นจุดขายใหม่ของประเทศไทย การรุกเปิดตลาดคุณภาพใหม่ให้ท่องเที่ยวไทยต่อเนื่องตลอดทั้งปี เช่น กลุ่มตลาดย่อยในตลาดระยะใกล้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มครอบครัวที่มีรายได้สูงในญี่ปุ่น กลุ่มดิจิทัลนอแมด กลุ่มทำงานไปด้วยเที่ยวไปด้วย และกลุ่มสุขภาพและความงาม

การแสวงหาคู่ค้ารายใหม่และขยายความร่วมมือกับคู่ค้ารายใหญ่ในเวทีโลก เช่น บริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ชั้นนำ และแพลตฟอร์มการชำระเงินยอดนิยม การขยายการเดินทางเชื่อมโยงทางบกเข้าถึงไทย เช่น จากการเปิดบริการรถไฟฟ้าความเร็วสูง จีน-เวียงจันทน์ (ลาว)-ไทย และ สุดท้ายการใช้ดิจิทัลคอนเทนต์ ช่วยเสริมพลังทางการตลาด เช่น เกาหลีใต้ แต่ยังคงมีจีนเป็นตลาดความหวังสูงสุด โดยตั้งเป้าหมายที่ 8.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 66 ที่ 3.5 ล้านคน แต่จะทำได้ไหมถือเป็นสิ่งที่ท้าทาย เนื่องจากที่ผ่านมา ประเทศจีนประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้รัฐบาลจีนเน้นส่งเสริมการเที่ยวภายในประเทศ เป็นหลัก

ลงทุนต่างชาติ 6 แสนล้าน
มาที่ส่วนสุดท้าย คือ รายได้จากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟทีไอ) เป็นเป้าหมายที่รัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญอย่างมากเช่นกัน เห็นจากการที่ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ประกาศตัวสวมบทเซลส์แมน ออกไปเจรจากับนักลงทุนระดับโลก เพื่อชักชวนให้เข้ามาลงทุนในไทย ประกอบกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ก็มองว่าปี 67 จะเป็นปีทองการลงทุนเอฟดีไอของไทย และมียอดขอส่งเสริมการลงทุนจากเติบโตมากกว่าปีก่อน หรือไม่ต่ำกว่า 6 แสนล้านบาท

เนื่องจากประเทศไทย มีแม่เหล็กดึงดูดการลงทุนใหม่ๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะมาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ยานยนต์ไฟฟ้า และการดูแลอุตสาหกรรมรถยนต์ดั้งเดิม ซึ่งล่าสุดในการประชุม ครม.เพิ่งเห็นชอบมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าระยะที่ 2 เป็นเวลา 4 ปี วงเงิน 3.4 หมื่นล้านบาท เพื่อส่งเสริมให้รถอีวีให้ขยายตัวต่อ ให้ไทยก้าวสู่การเป็นฐานผลิตชั้นนำในภูมิภาค โดยมีบริษัทผู้ผลิตยานยนต์ทั้งรถยนต์และ รถจักรยานยนต์กว่า 30 ราย เป็นเป้าหมายในการเข้าร่วม ขณะที่รถยนต์ที่ใช้น้ำมัน นายกฯ เศรษฐา ได้ประกาศเสียงดังฟังชัด พร้อมให้ไทยเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายของการผลิตรถยนต์สันดาป เพื่อประคองนักลงทุนญี่ปุ่นให้สามารถปรับตัวต่อไปได้

เดินหน้าชูแลนด์บริดจ์
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีความพยายามโปรโมทโครงการเมกะโปรเจคท์ อย่าง “แลนด์บริดจ์” ซึ่งที่ผ่านมา บีโอไอได้ร่วมกับกระทรวงคมนาคม ชักชวนบริษัทต่างชาติทั้งญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง เข้ามาร่วมลงทุนเกี่ยวกับ ท่าเรือ สายการเดินเรือ บริการโลจิสติกส์ บริษัทการเงินและประกันภัย ตัวแทนภาคอุตสาหกรรมการผลิต

ขณะที่การลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้ละทิ้ง โดยวางแนวทางการสนับสนุนการลงทุนใน 4 ด้าน ได้แก่ ที่ดิน ด้านแรงงาน กฎระเบียบ โลจิสติกส์ โดยวางเป้าหมายดึงเงินลงทุนเข้าประเทศ 2.2 ล้านล้านบาท ภายใน 5 ปี หรือ 4 แสนล้านบาทต่อปี แบ่งเป็นการลงทุนปกติ 250,000 ล้านบาทต่อปี และการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ คิดเป็นวงเงินประมาณ 150,000 ล้านบาทต่อปี

ดัน 5 อุตฯ ยุทธศาสตร์
ขณะเดียวกันบีโอไอก็กำลังผลักดัน 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ก้าวสู่เศรษฐกิจใหม่ ได้แก่ 1.อุตสาหกรรมกลุ่ม บีซีจี โดยเฉพาะเกษตร อาหาร การแพทย์ และพลังงานสะอาด 2.อุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเน้นอีวี 3.อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ 4.อุตสาหกรรมดิจิทัลและสร้างสรรค์ และ 5.การส่งเสริมให้ไทยเป็นแหล่งที่ตั้งของสำนักงานภูมิภาค

ไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งที่น่าติดตาม คือ การสวมบทเซลส์แมนของนายกฯ ที่ไปคุยกับบิ๊กนักธุรกิจระดับโลกมาหลายคนว่าจะสัมฤทธิผลแค่ไหน โดยการเดินทางเยือนสหรัฐ ฯ และจีน เพื่อดึงการลงทุนเข้าไทย จะโฟกัสอยู่ใน 4 กลุ่มหลักคือ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เช่น เทสล่า อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เช่น เวสเทิร์น ดิจิทัล,เอดีไอ, เอชพี เสี่ยวมี่ อุตสาหกรรมดิจิทัล เช่น อเมซอน กูเกิล ไมโครซอฟท์ เมตา ติ๊กต๊อก แอปเปิล หัวเว่ย อาลีบาบา และธุรกิจบริการ การเงิน และการค้า เช่น วอลมาร์ท ธนาคารต่าง ๆ

ปัจจุบันได้รับคอนเฟิร์มจะบีโอไอว่าหลายโครงการมีความก้าวหน้า เช่น เมื่อปลายเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ผู้บริหารระดับสูง เทสล่า ก็เดินทางศึกษาโอกาสใช้ไทยเป็นฐานการลงทุนของเทสลาในภูมิภาค ขณะที่ อเมซอน เว็บ เซอร์วิส หรือเอดับเบิลยูเอส ได้ยืนยันแผนลงทุนในไทยกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระยะเวลา 15 ปี และสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ 3 แห่งในภาคตะวันออก สำหรับกูเกิลได้ประกาศแผนลงทุน คลาวด์ในไทย ขณะที่ ไมโครซอฟท์ ได้เดินหน้าศึกษารายละเอียดการลงทุนตั้งศูนย์ข้อมูลในประเทศด้วย

เร่งแก้ไขกฎหมายสะดวก
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ รัฐบาลเองยังได้เตรียมยาโด้ปขนานใหญ่ หาก พ.ร.บ.กู้เงินฯ ผ่าน ก็จะเตรียมจัดตั้งกองทุนฯ ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศอีก 1 แสนล้านบาท พร้อมกับเร่งแก้ไขกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจใน4 ด้าน ได้แก่ ด้านการส่งเสริมการประกอบธุรกิจ ด้านการพัฒนาระบบการอนุญาตหลัก ด้านการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และสุดท้ายคือ ด้านการผลักดันพลังงานสะอาด เพื่อให้ทั้ง 4 กิจการทำธุรกิจได้ง่ายมากขึ้น

สิ่งเหล่านี้…รัฐบาลหวังจะช่วยสร้างแรงดึงดูด เติมเสน่ห์ให้ประเทศไทยกลับมาเนื้อหอม ทั้งในเรื่องการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนอีกครั้ง หลังจากช่วงหลายปีที่ผ่านมา และยามวิกฤตโควิด ทำให้ประเทศอยู่นอกสายตาของชาวต่างชาติมานาน เดิมพันครั้งนี้ จึงถือว่ามีความสำคัญนัก เพราะนอกจากจะเป็นการสร้างรายได้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศแล้ว ทั้งจากการส่งออก 10 ล้านล้านบาท รายได้จากการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ 2.5 ล้านล้าน และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศอีก 6 แสนล้านบาท รวมกันกว่า 13 ล้านล้านบาทแล้ว ยังเป็นบทพิสูจน์ฝีมือของรัฐบาลด้วยว่า ถ้าหากคิดจะใช้เงินเก่ง ก็ต้องหาเงินให้เป็นด้วย.

ทีมเศรษฐกิจ

By admin